ทัวร์ยูเครน-เบลารุส-มอลโดวา 12 วัน
ทัวร์
ยุโรป
ระยะเวลา
12 วัน
สายการบิน
วันเดินทาง
10-21 กันยายน 2563
Hilight

โกลบอล ฮอลิเดย์ ขอนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและความสวยงามของมรดกโลกในทวีปยุโรป เยือนดินแดนมหัศจรรย์ยุคกลางของยุโรปตะวันออก อดีตม่านเหล็กแห่งสหภาพโซเวียต ชมพระราชวังและมหาวิหารแบบอีสเทิร์นออร์โธด็อกซ์ที่โดดเด่น 
ยูเครน เป็นประเทศในยุโรปตะวันออก มีอาณาเขตทางตะวันออกติดต่อกับประเทศรัสเซีย ทางเหนือติดต่อกับเบลารุส ทางตะวันตกติดต่อกับประเทศโปแลนด์ สโลวาเกีย และฮังการี ส่วนทางตะวันตกเฉียงใต้ติดต่อกับโรมาเนียและมอลโดวา ทางใต้และตะวันออกเฉียงใต้จรดทะเลดำ ยูเครนถือเป็น อู่ข้าวอู่น้ำ ของโลกมาช้านาน เนื่องจากมีทรัพยากรผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยูเครนเป็นผู้ส่งออกธัญพืชรายใหญ่เป็นอันดับ3 ของโลกในปี ค.ศ.2011 โดยผลการเก็บเกี่ยวในปีนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยด้วย นอกจากนี้ยูเครนยังมีภาคการผลิตที่พัฒนาดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอวกาศและอุตสาหกรรม
เบลารุส หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐเบลารุส เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันออก มีอาณาเขตติดต่อกับรัสเซีย ยูเครน โปแลนด์ ลิทัวเนีย และลัตเวีย มีเมืองหลวงของประเทศ คือ กรุงมินสค์ ย้อนไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปฏิบัติการต่างๆทางทหารทำให้เบลารุสเสียหายอย่างรุนแรง โดยสูญเสียประชากรราวหนึ่งในสามและทรัพยากรทางเศรษฐกิจมากกว่าครึ่ง และได้รับการพัฒนาขื้นมาใหม่อีกครั้งหลังสิ้นสุดสงครามโลกในปีค.ศ.1945
มอลโดวา หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐมอลโดวา เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันออก ตั้งอยู่ระหว่างประเทศโรมาเนียทางทิศตะวันตก และประเทศยูเครนทางทิศตะวันออก มีเขตพรมแดนกับโรมาเนียตามแม่น้ำพรุต (Prut River) และแม่น้ำดานูบ (Danube River) ในอดีตพื้นที่ประเทศมอลโดวาอยู่ในอาณาบริเวณของราชรัฐมอลดาเวีย (Principality of Moldavia) ต่อมาถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซียในปี ค.ศ.1812 และได้รวมกับดินแดนโรมาเนียอื่นๆเป็นประเทศโรมาเนียในปี ค.ศ.1918 หลังจากเปลี่ยนผู้มีอำนาจเหนือดินแดนนี้ไปมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มอลโดวาก็ได้กลายเป็นดินแดนของสหภาพโซเวียตในชื่อสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวีย จนในที่สุดก็ได้ประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ.1991

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    กรุงเทพฯ - กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน (Kyiv, Ukraine) (-/-/D)
    • 08.30 น. พร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ณ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 8 เคาน์เตอร์แถว S or Q หรือ ประตู 10 เคาน์เตอร์แถว W (แล้วแต่วัน ต้องดูหน้าจอมอนิเตอร์ที่สนามบินในวันนั้นๆ) โดยสายการบิน UKRAINE INTERNATIONAL AIRLINES (PS) โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน
      11.25 น.    เหินฟ้าสู่ กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน โดยสายการบิน ยูเครนอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ PS272 (11.25-18.30) (ใช้เวลาบิน 11 ชั่วโมง 5 นาที) (บริการอาหารบนเครื่องบิน)
      18.30 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติบอรีสปีล กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เป็นเมืองใหญ่ที่สุดและมีประชากรอาศัยอยู่มากที่สุดในยูเครน เป็นเมืองที่สวยงามและมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายศตวรรษ ว่ากันว่าเมืองเคียฟสร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ. 482 ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำดนีเปอร์ โดยกษัตริย์ชนเผ่าสลาฟ ชื่อของเมืองเคียฟมาจากชื่อของ คยี ซึ่งเป็น 1 ใน 4 พี่น้องผู้ก่อตั้งเมืองตามตำนาน ได้แก่ คยี (Kyi) เชค (Shchek) คอรีฟ (Khoryv) ลิบิด(Lybid)  ปัจจุบันเคียฟเป็นศูนย์กลางสำคัญของภาคอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ การศึกษาและวัฒนธรรมของยุโรปตะวันออก หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว พบกับไกด์ท้องถิ่น นำท่านเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พักบริเวณใจกลางย่านเมืองเก่ากรุงเคียฟ 40 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 50 นาที
      ค่ำ        รับประทานอาหารค่ำในโรงแรม
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Radisson blu Hotel 4*, Kiev Ukraine หรือเทียบเท่า
  • Day 2
    กรุงเคียฟ - กรุงมินสก์ ประเทศเบลารุส (B/L/D)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
        นำท่านชมมรดกโลก อารามหมู่ถ้ำเพอร์เชตกา ลาฟร่า (Kiev Pechersk Lavra or Monastery of the caves) อารามหมู่ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่บนเชิงเขาที่มีถ้ำรอบๆ ภูเขา เนื้อที่กว้างขวางถึง 75 เอเคอร์ (190 ไร่) ริมฝั่งแม่น้ำดนีเปอร์ ปัจจุบันเป็นเสมือนศูนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์โธด็อกซ์ในแถบยุโรปตะวันออก ประวัติเริ่มมีการก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ.1051 โดยนักบวชแอนโทนี่ ท่านเป็นนักบวชเดินทางมาจากประเทศกรีซเพื่อเผยแพร่ศาสนาในอาณาจักรเคียฟ-รุส ท่านได้เลือกถ้ำในภูเขาเบอเรสตอฟ (Berestov Mount) ซึ่งสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำดนีเปอร์ที่อยู่เบื้องล่างเพื่อใช้เป็นอารามที่พำนัก เจ้าชายอิสเซียสลาฟแห่งเคียฟจึงยกภูเขาทั้งลูกให้แก่ท่าน จากนั้นมีนักบวชสาวกทยอยหลั่งไหลมาอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นชุมชนหย่อมๆ จึงได้สร้างอารามตามหมู่ถ้ำมากกว่า 200 แห่งในภูเขาลูกนี้จนได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่มีนักบวชมากที่สุดในยุโรปตะวันออก 
      อารามหมู่ถ้ำแห่งนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ Upper Lavra และ Lower Lavra โดยในส่วนของ Upper Lavra จะประกอบไปด้วยหลายส่วน คือ หอระฆัง (Bell Tower) วิหารดอร์มิชั่น (Dormition Cathedral) พิพิธภัณฑ์ขุมสมบัติ (Museum of Historical Treasures) โบสถ์เหล่านักบุญ (Church of All the Saints) และอาคารโถงอาหารแห่งโบสถ์เซนต์แอนโทนี่และเซนต์ธีโอโดซีอุส (Refectory Church of St.Anthony & Theodosius) สำหรับส่วน Lower Lavra
      จะมีโบสถ์หลายหลังเช่นกัน ส่วนใต้พื้นดินมีถ้ำแคบๆเกิดจากการขุดเจาะให้เป็นอุโมงค์ทางเดินเชื่อมกันดั่งเขาวงกต และมีโบสถ์ใต้ดิน โดยถ้ำเดิมที่นักบวชแอนโทนี่เคยอาศัยอยู่ในช่วงแรกเริ่ม ปัจจุบันเรียกว่า Far Caves แต่ต่อมาในปีค.ศ.1057 ท่านได้ย้ายมาอยู่ในถ้ำที่ใกล้กับ Upper Lavra ซึ่งปัจจุบันเรียกถ้ำส่วนนี้ว่า Near Caves  
      นำท่านชมโบสถ์สำคัญๆในบริเวณนี้ พาขึ้นไปบนหอระฆังเพื่อชมวิวทิวทัศน์โดยรอบในมุมสูง รวมถึงพาชมถ้ำใต้ดินและชมพิพิธภัณฑ์ขุมสมบัติ ซึ่งเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเคียฟ ภายในได้เก็บรวมรวมบรรดาเครื่องประดับอัญมณีโบราณล้ำค่าต่างๆที่หายากและภาพวาดโบราณที่เก่าแก่มาจัดแสดงไว้ ส่วนสมบัติชิ้นสำคัญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในพิพิธภัณฑ์นี้ คือ เครื่องประดับทองคำของชาวไซเธียน ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ.1990 โดยองค์กรยูเนสโก้
      กลางวัน        รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย             นำท่านไปแวะถ่ายรูป อนุสาวรีย์เทพีผู้ปกป้องกรุงเคียฟ (The Motherland Monument) ที่สูงเด่นเป็นสง่าอยู่บนเนินเขาริมแม่น้ำดนีเปอร์ เดินทางไปชม พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมพื้นบ้าน (The Museum of Folk Architecture and Life)  เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านพิโรกอฟ ไม่ไกลจากเมืองนัก บรรยากาศโดยทั่วไปของหมู่บ้านมีลักษณะแบบยูเครนดั้งเดิม พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของโลกที่มีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 150 เฮกเตอร์ (935ไร่) ซึ่งที่นี่ท่านสามารถเรียนรู้และเห็นถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของคนในแต่ละภูมิภาคของยูเครนที่แตกต่างกันผ่านทาง บ้านเรือนเก่า โบสถ์ไม้เก่า คอก กังหันลม ที่นำมาจัดแสดงไว้ที่นี่ล้วนเป็นของเก่าแก่ดั้งเดิมจริงๆ
      เย็น       รับประทานอาหารเย็น 
      17.00 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติบอรีสปีล เพื่อเตรียมตัวเช็คอินสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ
      19.40 น.    เหินฟ้าสู่ กรุงมินสก์ ประเทศเบลารุส โดยสายการบิน ยูเครนอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ PS893 (19.40-20.45) (ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 5 นาที) 
      20.45 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติมินสก์ กรุงมินสก์ ประเทศเบลารุส หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว พบกับไกด์ท้องถิ่น นำท่านเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พักบริเวณใจกลางย่านเมืองหลวงกรุงมินสก์ 45 กิโลเมตร 
       เข้าสู่โรงแรมที่พัก Crowne Plaza Hotel 5*, Minsk Belarus หรือเทียบเท่า

  • Day 3
    กรุงมินสก์ (B/L/D)
    • เช้า              รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      กรุงมินสก์ เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเบลารุส ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำสวิสลาซและแม่น้ำเนียมีฮา เมืองนี้ถือว่าเป็นศูนย์กลางของการปกครอง เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหลักของประเทศเบลารุส ที่สำคัญคือ ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวสำหรับนักเดินทางผู้ที่หลงใหลในกลิ่นอายของอดีตสหภาพโซเวียตที่ยังคงหลง เหลืออยู่กระทั่งปัจจุบัน 
      นำท่านชม จัตุรัสแห่งชัยชนะ (Victory Square) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าอนุสาวรีย์ผู้รักชาติ ถูกสร้างขึ้นในรูปทรงแท่งเสาสี่เหลี่ยมสูง 38 เมตร เมื่อปี ค.ศ.1954 เพื่อระลึกถึงเกียรติคุณของทหารของกองทัพรัสเซียและยูเครนผู้พลีชีพในมหาสงครามของผู้รักชาติ (Great Patriotic War) ระหว่างสหภาพโซเวียตกับพวกนาซีเยอรมนี ในช่วงปี ค.ศ.1941-1945 
      นำท่านเดินทางไปยัง มหาวิหารแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ (Holy Spirit Cathedral) เป็นโบสถ์คริสต์เก่าแก่ในนิกายเบลารุสออร์โธด็อกซ์ (Belarusian Orthodox Church) ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1633-1642 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบบาร็อค โดยเริ่มแรกถูกใช้เป็นที่อยู่ของแม่ชีคาทอลิก ต่อมาในปีค.ศ. 1852 โบสถ์คาทอลิกแห่งนี้ถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้งาน แต่ในเวลาต่อมาโบสถ์หลังนี้ได้ถูกบูรณะและสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่กลายเป็นโบสถ์คริสต์ออร์โธด็อกซ์และ ได้รับการเรียกขานชื่อว่า มหาวิหารแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อปี ค.ศ. 1961 ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน โบสถ์หลังนี้เป็นที่ประดิษฐานของภาพไอคอนสำคัญ คือ ภาพไอคอนของพระแม่มารีโอบอุ้มพระเยซู (Mother of God Icon) ที่ถูกเก็บเอาไว้ที่กรุงมินสก์ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 
      จากนั้นเดินเท้าไปชม ศาลาว่าการเมืองมินสก์ (Minsk City Hall) สถานที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนหลังกลับไปเกือบ 520 ปี เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.1499 และได้รับการแต่งตั้งให้เมืองตาม Magdeburg Law โดยได้สร้างเป็นอาคารไม้ทั้งหลัง แต่ต่อมาในช่วงปี ค.ศ.1582 ได้สร้างขึ้นใหม่เป็นอาคารหิน ชาวเมืองมินสก์มีความภาคภูมิ ใจในตัวอาคารศาลาว่าการฯที่บ่งบอกถึงอิสรภาพและความอดทนแข็งแกร่ง ศาลาว่าการแห่งนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายจากทั้งเหตุการณ์ไฟไหม้หนักและสงคราม จนกระทั่งเบลารุสได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ์รัสเซียในยุคของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่1 เมื่อปี ค.ศ.1857 พระองค์ได้มีคำสั่งให้ทำลายศาลาว่าการฯหลังนี้ลง เพราะพระองค์ไม่ชอบลักษณะอาคารที่เป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับอิสรภาพและเสรีภาพ ดังนั้นอาคารศาลาว่าการฯที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นการสร้างขึ้นมาใหม่บนรากฐานเดิมโดยถอดแบบมาจากของเดิมเมื่อช่วงปีค.ศ.2002-2004 นั่นเอง  
      นำท่านชม จัตุรัสแห่งอิสรภาพ (Independence Square or Ploshchad Nezavisimosti) อีกหนึ่งจัตุรัสใจกลางเมืองมินสก์ที่จัดว่าเป็นจัตุรัสใหญ่ที่สุด ซึ่งเดิมมีชื่อเรียกว่า จัตุรัสเลนิน ใช้ชื่อนี้จนกระทั่งปี ค.ศ.1991 จึงเปลี่ยนเป็นชื่อใหม่ เพราะได้ประกาศอิสรภาพเป็นเอกราชในปีนั้น โดยจัตุรัสแห่งนี้เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1933 และค่อยๆขยายพื้นที่อาคารต่างๆโดยรอบและสวนสาธารณะเพิ่มเติมจนเสร็จสิ้นในปีค.ศ.1950 ปัจจุบันจัตุรัสแห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่
      สำคัญของเมืองเพราะมีอาคารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม รวมถึงมีร้านค้าปลีกต่างๆมากมาย และ ห้างสรรพสินค้า อีกทั้งมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม ที่สำคัญที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ โบสถ์แดง (Red Church) หรือ โบสถ์เซนต์ไซมอนและเฮเลนา (Church of St.Simom and Helena) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1905 โดยสร้างในสไตล์นีโอ-โรมันที่สร้างด้วยอิฐแดง ต่อมาในปี ค.ศ.1932 โจเซฟ สตาลินสั่งห้ามดำเนินกิจกรรมทางศาสนาทุกประเภทและของมีค่าต่างๆก็ถูกยึดไป กระทั่งถึงปี ค.ศ.1990 ที่นี่จึงถูกกลับมาใช้งานอีกครั้งเป็นโบสถ์สำหรับคริสตชนนิกายโรมันคาทอลิก
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย นำท่านเดินทางไปยัง หอสมุดแห่งชาติเบลารุส (National Library of Belarus) เป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเบลารุส มีสถาปัตยกรรมเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ความสูงของอาคาร 73.6 เมตร และมีน้ำหนัก 115,000 ตัน (ไม่รวมหนังสือ) อาคารมี 23 ชั้น หอสมุดแห่งนี้สามารถรองรับผู้อ่านได้ 2,000 คน อีกทั้งมีห้องประชุมขนาด 500 ที่นั่ง หอสมุดแห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิก Mihail Vinogradov และ Viktor Kramarenko อิสระให้ท่านได้ชมบรรยากาศของห้องสมุดและบริเวณโดยรอบ ณ ดาดฟ้าสังเกตการณ์ตามอัธยาศัย
      อิสระให้ท่านช้อปปิ้งเลือกซื้อของที่ระลึกหรือเดินเล่น ณ บริเวณ Gum Department Store 
      เย็น รับประทานอาหารเย็น 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Crowne Plaza Hotel 5*, Minsk Belarus หรือเทียบเท่า

  • Day 4
    กรุงมินสก์ - เมืองเมียร์ - เมืองเนสวิซห์ (B/L/D)
    • เช้า        รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      เดินทางสู่ เมืองเมียร์ (Mir) โดยมีระยะทางราว 100 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 90 นาที  เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงมินสก์ ซึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในเบลารุสเพราะเป็นที่ตั้งของมรดกโลก
      นั่นก็คือ ปราสาทเมียร์ (Mir Castle) ก่อสร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่เปรียบเป็นดั่งปราสาทในเทพนิยาย ซึ่งมีสมญานามเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน เรียกว่า "ดอกไม้ยุคกลาง" โดยเริ่มแรกสร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมสไตล์โปลิชโกธิค หลังจากนั้นก็มีการผลัดเปลี่ยนเจ้าของปราสาทไปเรื่อยจนล่วงเลยมาถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18-19 ปราสาทก็ถูกปรับเปลี่ยนใหม่เป็นสไตล์เรอเนสซองส์ บางช่วงเวลาปราสาทก็ถูกทิ้งร้างยาวนานเกือบศตวรรษจนกระทั่งในช่วงคริสต์วรรษที่ 20 ปราสาทหลังนี้เคยถูกนายพลฮิตเลอร์ใช้เป็นที่คุมขังเชลยชาวยิวกว่า 800 คนในช่วงมหาสงคราม ราวปี ค.ศ.1942 แล้วสั่งฆ่าชาวยิวเป็นจำนวนมากจนแทบไม่เหลือ ต่อมาก็ได้รับการปรับปรุงและต่อเติมในรูปแบบใหม่สไตล์บารอค เจ้าของครอบครัวสุดท้ายได้ย้ายออกจากปราสาทไปในปี ค.ศ.1962 ปราสาทได้รับการบูรณะปรับปรุงครั้งล่าสุด คือ ในปีค.ศ.1983 ก่อนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในวันที่ 2ธันวาคม ค.ศ.2000 
      กลางวัน        รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย เดินทางต่อไปยัง เมืองเนสวิซห์ (Nesvizh) โดยมีระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 35 นาที  เป็นเมืองเล็กๆที่มีความ สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวถึงและบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 (ราว ค.ศ.1223)  ในเวลาต่อมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมืองเล็กๆแห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นที่พำนักของตระกูลราดซีวิล (Radziwill Family) ซึ่งเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้มาเรื่อยจนกระทั่งปี ค.ศ.1813 แล้วคนในตระกูลนี้ก็ถูกลดบทบาทลงไป แต่ต้องยอมรับว่าตระกูลราดซีวิลนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเจริญและความมั่งคั่งทำให้เมืองเนสวิซห์ เป็นเมืองที่มีอิทธิพลมากทางด้านวิทยาศาสตร์ ศิลปะ งานช่างฝีมือ และสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นสวยงาม ถือเป็นเมืองโบราณที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเบลารุสในปัจจุบัน มรดกตกทอดที่สำคัญของตระกูลราดซีวิล คือ พระราชวังเนสวิซห์ หรือปราสาทเนสวิซห์ (Nesvizh Palace or Nesvizh Castle) อดีตเคยเป็นที่พำนักของตระกูลราดซีวิลที่มีความงดงามมาก โดยตัวปราสาทนั้นถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปีค.ศ.1582 และสร้างทางเชื่อมต่อกับโบสถ์สุสานคอร์ปัส  คริสตี ในช่วงราวปี ค.ศ.1587-1603 ซึ่งเป็นที่ฝังศพของสมาชิกในตระกูลราดซีวิล ความเป็นเจ้าของปราสาทถูกสิ้นสุดลงในปีค.ศ.1939 เมื่อคนในตระกูลราดซีวิลถูกขับไล่ออกจากปราสาทโดยกองทัพแดง ต่อมาในปี ค.ศ.1944 ที่นี่จึงถูกดัดแปลงนำมาใช้ประโยชน์เป็นโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง  ในปี ค.ศ.1993 รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของปราสาทเก่าหลังนี้ต้องการอนุรักษ์ให้เป็นพิพิธภัณฑ์จึงได้ทำการบูรณะซ่อมแซมใหม่อีกครั้ง ปราสาทแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 2005 โดยองค์กรยูเนสโก้
      เย็น รับประทานอาหารเย็น 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Nesvizh Hotel 3*, Nesvizh  Belarus หรือเทียบเท่า

  • Day 5
    เมืองเนสวิซห์ - เมืองเบรสต์ (B/L/D)
    • เช้า        รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
             ออกเดินทางสู่ เมืองเบรสต์ (Brest) โดยมีระยะทางประมาณ 290 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 4 ชั่วโมง  
      เมืองเบรสต์ (Brest) เป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับพรมแดนประเทศโปแลนด์ ตั้งอยู่บริเวณที่แม่น้ำมัคคาเวท (Mukhavets River) และแม่น้ำบัก (Bug River) ไหลมาบรรจบกัน ปัจจุบันเป็นเมืองเอกของแคว้นเบรสต์ (Brest Oblast) ในช่วงยุคกลาง เมืองนี้อยู่ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรโปแลนด์ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา เมื่อครั้งเกิดการสู้รบแบ่งแยกดินแดนของโปแลนด์ ทำให้เมืองนี้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิรัสเซียในปี ค.ศ.1795  หลังจากสงครามโลกครั้งที่1 กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์อีกครั้ง จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงตกเป็นของนาซีเยอรมัน หลังจากสงครามดังกล่าว โปแลนด์ได้เปลี่ยนแปลงเขตแดนประเทศ เมืองนี้จึงตกเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตจน ถึงปี ค.ศ.1991 เมื่อสหภาพโซเวียตแตกแยกจึงตกมาเป็นของเบลารุสในปัจจุบัน
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย นำท่านชม ป้อมเบรสต์ (Brest Fortress) เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ.1830-1840 ในจุดบรรจบของแม่น้ำสองสายดังกล่าวข้างต้น และมีการสร้างโบสถ์เซนต์นิโคลัสในช่วงปี ค.ศ.1857-1876 แต่อาคารส่วนใหญ่แทบทั้งหมดก็ถูกทำลายและเสียหายอย่างหนักในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ป้อมแห่งนี้ตกเป็นของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ.1939 และได้รับการตั้งสมญานามว่า ป้อมวีรชน (Hero Fortress) เพื่อระลึกถึงความกล้าหาญของเหล่าทหารวีร
      ชนรัสเซียในช่วงมหาสงครามของผู้รักชาติ เมื่อนาซีเยอรมนีรุกรานสหภาพโซเวียตในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ.1941 ทำให้เมืองเบรสต์ได้รับความเสียหายหนักเกือบ 90% ในเวลานั้น ปัจจุบันป้อมเบรสต์เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเบรสต์ เพราะอนุสรณ์สถานแห่งนี้เป็นสถานที่ตั้งของแท่งเสาสดุดีวีรชน อนุสาวรีย์ผู้กล้าหาญ อนุสาวรีย์ผู้กระหาย อนุสาวรีย์เปลวไฟนิรันดร์ พิพิธภัณฑ์แห่งการป้องกันป้อมเบรสต์ ซากปรักหักพังป้อมเบรสต์เก่า ประตูทางเข้าป้อมที่มีชื่อว่า Kholmsky Gate ซึ่งเป็นแนวกำแพงเต็มไปด้วยรูพรุนของกระสุนปืน 
      จากนั้นอิสระตามอัธยาศัย ให้ท่านได้เพลิดเพลินเดินเล่นและเก็บภาพถ่ายอาคารต่างๆหลากสีสันตลอดทั้งสองข้างของถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงของเมืองเบรสต์ คือ ถนนโซเวทสกายา (Sovetskaya Street) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ถนนโคมไฟ (Street of Lanterns) เพราะทุกช่วงเย็นจะมีเจ้าหน้าที่มาจุดไฟที่โคมไฟบนถนนสายนี้ ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ อัตลักษณ์ที่โดดเด่นของเมือง
      เย็น        รับประทานอาหารเย็น
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Hampton by Hilton Hotel 3*, Brest Belarus หรือเทียบเท่า

  • Day 6
    เมืองเบรสต์ - เมืองลวีฟ ประเทศยูเครน (B/L/D)
    • เช้า        รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      อำลาประเทศเบลารุส มุ่งหน้าเดินทางสู่ เมืองลวีฟ (Lviv) ประเทศยูเครน โดยมีระยะทางประมาณ 330 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 5-6 ชั่วโมง (หรือใช้เวลามากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับขั้นตอนผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของทั้งสองประเทศ)  
      เมืองลวีฟ (Lviv) เป็นเมืองใหญ่ที่สุดทางตะวันตกของประเทศยูเครน และถือเป็นเมืองศูนย์กลางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศยูเครน อีกทั้งเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่เปรียบเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของชาวโปลและชาวยิวที่ขึ้นชื่อเนื่องจากเมืองนี้มีประชากรจำนวนหนึ่งเป็นชาวโปลและชาวยิวที่อพยพมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี และต่อมาก็ตกเป็นของโปแลนด์ และสหภาพโซเวียต จึงทำให้ลวีฟเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางพหุวัฒนธรรม เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็น “กรุงปารีสแห่งยูเครน”
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ เมืองระหว่างทาง
      บ่าย ครั้นเดินทางถึงเมืองลวีฟ นำพาท่านเดินเท้าชมย่านจัตุรัสกลางเมืองที่มีชื่อว่า Rynok Square หรือที่เรียกกันว่า Market Square ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าในยามเย็นซึ่งท่านจะได้สัมผัสเสน่ห์ของเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ (Old Town Walking Tour) เมืองเก่าประวัติศาสตร์ลวีฟ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ.1998
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Grand Hotel 5*, Lviv Ukraine หรือเทียบเท่า

  • Day 7
    เมืองลวีฟ - เมืองเชอร์นิฟซี (B/L/D)
    • เช้า        รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      นำท่านเที่ยวชมเมืองลวีฟ  ซึ่งเมืองนี้มีความมั่งคั่งหลากหลายทั้งทางด้านวัฒนธรรมและด้านสถาปัตยกรรมที่ท่านสามารถเห็นได้จากตึกอาคารบ้านเรือนต่างๆ รวมถึง อาคารโบสถ์วิหารต่างๆ ในย่านเมืองเก่า เริ่มแรกเดิมทีราวช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 อาคารส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นในสไตล์โกธิค แต่ต่อมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 เกิดไฟไหม้หนักเสียหายเกือบทั้งเมือง จึงมีการสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งโดยถูกสร้างขึ้นในสไตล์เรอเนสซองส์ ดังนั้นการชมสถานที่ต่างๆในเมืองนี้ ท่านจะได้เห็นสถาปัตยกรรมทั้ง 2 รูปแบบคละเคล้ากันไปอย่างเพลิดเพลินตา โดยเริ่มนำท่านชม วิหารลาติน (Latin Cathedral) เป็นวิหารเก่าแก่ในนิกายคริสต์คาทอลิกที่สร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.1344 โดยสร้างในสไตล์โกธิค ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานภาพไอคอนของพระแม่ฉวีดำองค์จำลองที่ศักดิ์สิทธิ์และชื่อเสียงมาก ซึ่งเดิมทีองค์จริงเคยประดิษฐานอยู่ที่นี่ก่อนได้ถูกเคลื่อนย้ายไปที่วิหารยัสน่า กอร่า ประเทศโปแลนด์ 
      นำชม วิหารเซนต์จอร์จ (St. George Cathedral) เป็นอีกหนึ่งวิหารเก่าแก่ในนิกายคริสต์คาทอลิกที่สร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1746 และเสร็จสิ้นในปี ค.ศ.1762 ในสไตล์บารอค-รอคโคโค่ ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเซนต์จอร์จซึ่งสามารถมองเห็นวิวเมืองโดยรอบ ปัจจุบันวิหารแห่งนี้มีความสำคัญในฐานะโบสถ์แม่ต้นกำเนิดของกลุ่มโบสถ์คาทอลิกกรีก-ยูเครเนี่ยน (UGCC) แล้วนำชม ปราสาทสูงลวีฟ (Lviv High Castle) เป็นซากปราสาทเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13-19 ซึ่งมีทำเลที่ตั้งอยู่บนยอดเนินเขาปราสาท (Castle hill) ปราสาทนี้ผ่านการสร้างและถูกทำลาย ลงในหลายครั้งหลายคราวตามแต่ละยุคสมัย ปัจจุบันถือเป็นจุดที่สูงที่สุดในเมือง ณ ระดับความสูง 413 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ท่านสามารถชมวิวทิวทัศน์และบรรยากาศของเมืองลวีฟได้อย่างอิสระสุดสายตาถึง 360 องศา 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย ออกเดินทางต่อไปยัง เมืองเชอร์นิฟซี (Chernivtsi) โดยมีระยะทาง 280 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 5 ชั่วโมง  เมืองเชอร์นิฟซี (Chernivtsi) คือเมืองหนึ่งของยูเครนทางตะวันตกตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำพรุต (Prut River) เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการปกครองของเขตจังหวัดเชอร์นิฟซี (Chernivtsi Oblast) ที่สำคัญเมืองนี้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของแคว้นบูโควิน่า (Bukovina) ปัจจุบันเมืองนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางวัฒนธรรมหลักของยูเครนตะวันตก ในเชิงประวัติศาสตร์ เมืองนี้ได้รับการขนามนามว่า "ลิตเติ้ลเวียนนา" และ "เยรูซาเลมบนพรุต"  เมืองแห่งนี้มีมนต์เสน่ห์สามารถดึงดูดท่านด้วยภูมิทัศน์ที่สวยงามโดดเด่นด้านวัฒนธรรมและผลงานชิ้นเอกทางสถาปัตยกรรม เสน่ห์ของถนนโบราณของย่านเมืองเก่า สัมผัสบรรยากาศพื้นเมืองที่เติมเต็มด้วยอาคารสถาปัตยกรรมต่างๆทั้งสมัยเก่าและสมัยใหม่ที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน
      ครั้นเดินทางถึงเมืองเชอร์นีฟซี นำท่านเดินเล่นชมเมือง ณ บริเวณ จัตุรัสเมือง (Tsentral’na Square) ที่เริ่มต้นสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1786 ตามพระราชดำริของกษัตริย์โจเซฟที่ 2 แห่งอาณาจักรออสเตรียเมื่อครั้งที่เสด็จมาเยือนที่เมืองนี้ ปัจจุบันบริเวณจัตุรัสแห่งนี้เป็นถนนคนเดินของเมือง มีอาคารเก่าแก่ตั้งเรียงรายประชันความงามอย่างออกหน้าออกตาชวนให้ชื่นชมสถาปัตยกรรมที่หลากหลายสไตล์ของเมืองนี้ ท่านจะได้สัมผัสเห็นวิถีชีวิตของผู้คนชาวเมือง 
      อิสระให้ท่านได้เดินเล่นตามอัธยาศัย ย่านถนนคนเดิน ท่านจะเดินผ่าน โบสถ์ยิวโบราณ (Czenowitz Synagogue) โบสถ์ยิวหลังเก่าเป็นอาคารหลังคาโดมที่สร้างในสไตล์นีโอมัวริช (Neo-Moorish) เมื่อปี ค.ศ.1873 โบสถ์ถูกปิดในปีค.ศ.1940 ในช่วงที่สหภาพโซเวียตปกครองยูเครน ต่อมาในปี ค.ศ.1941 โบสถ์ยิวหลังนี้ถูกไฟไหม้เสียหายหนักมาก ปัจจุบันสถานที่นี้ได้เป็นโรงละครไปแล้ว โดยไม่เหลือเค้าโครงเดิมไว้เลย 
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Bukovyna Hotel 4*, Chernivtsi Ukraine หรือเทียบเท่า
  • Day 8
    เมืองเชอร์นิฟซี - คีชีเนา ประเทศมอลโดวา (B/L/D)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      นำท่านเข้าชม มหาวิทยาลัยเชอร์นีฟซี (Chernivtsi State University) สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1864-1882 โดยได้รับการออกแบบจากสถาปนิกชาวเช็กที่มีชื่อว่า Josef Hlavka แรกเริ่มเดิมทีอาคารของมหาวิทยาลัยถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พำนักของผู้ปกครองในยุคสมัยนั้น เรียกว่า Residence of Bukovinian & Dalmatian Metropolitans โดยสร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมร่วมแบบโรมันและไบเซนไทน์และตกแต่งเพิ่มเติมด้วยรูปแบบศิลปะพื้นบ้านของยูเครนที่โดดเด่น ยกตัวอย่างเช่น ลวดลายบนหลังคาเป็นแบบรูปทรงเรขาคณิตสไตล์คล้ายลายปักผ้าพื้นเมืองของชาวยูเครน เป็นต้น ที่นี่จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยองค์กรยูเนสโก้ในปี ค.ศ. 2011
      อำลาประเทศยูเครน มุ่งหน้าเดินทางสู่ เมืองคีชีเนา (Chisinau) ประเทศมอลโดวา โดยมีระยะทางประมาณ 335 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 6 ชั่วโมง (หรือใช้เวลามากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับขั้นตอนผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของทั้งสองประเทศ)  
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย นำท่านเดินทางต่อไปยัง เมืองคีชีเนา (Chisinau)  เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งสาธารณรัฐมอลโดวา เมืองนี้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการค้าหลักของมอลโดวา ตั้งอยู่ในใจกลางของประเทศ ติดแม่น้ำ Bâc  เป็นเมืองที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจมากที่สุดในมอลโดวาและเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งที่ใหญ่ที่สุด 
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Jollyalon Hotel 4*, Chisinau Moldova หรือเทียบเท่า

  • Day 9
    คีชีเนา (B/L/D)
    • เช้า        รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      มอลโดวา หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐมอลโดวา (Republic of Moldova) เป็นประเทศไม่มีทางออกสู่ทะเลในภูมิภาคยุโรปตะวันออก ตั้งอยู่ระหว่างประเทศโรมาเนียทางทิศตะวันตก และประเทศยูเครนทางทิศตะวันออก มีพรมแดนกับโรมาเนียตามแม่น้ำพรุต (Prut River) และแม่น้ำดานูบ (Danube River) ในอดีตพื้นที่ประเทศนี้อยู่ในอาณาบริเวณของราชรัฐมอลดาเวีย (Principality of Moldavia) ต่อมาถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซียในปี ค.ศ. 1812 และได้รวมกับดินแดนโรมาเนียอื่นๆ เป็นประเทศโรมาเนียในปี ค.ศ. 1918 หลังจากเปลี่ยนผู้มีอำนาจเหนือดินแดนนี้ไปมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มอลโดวาก็ได้กลายเป็นดินแดนของสหภาพโซเวียตในชื่อ สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลดาเวีย (Moldavian SSR) ระหว่างปี ค.ศ. 1945-1991 จนในที่สุดได้ประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ.1991
      ทำความรู้จักกับประเทศเล็กๆแห่งนี้ โดยนำท่านชม  พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติทางประวัติศาสตร์มอลโดวา (National Museum of History of Moldova)  ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงคีชีเนา เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดของประเทศ หากใครไม่มาที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถือว่าพลาด เพราะที่นี่มีชื่อเสียงด้านอาคารสถาปัตยกรรมที่สวยงามและโดดเด่น อีกทั้งภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เก็บรวบรวมโบราณวัตถุและสิ่งของต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ กว่า 263,000 ชิ้น ซึ่งเป็นมรดกสมบัติชาติส่วนใหญ่ และเปิดให้เข้าชมได้ตลอดทั้งปี
      กลางวัน        รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำท่านชมเส้นทางแห่งไวน์ ณ Cricova Winery ซึ่งเป็นโรงบ่มไวน์ที่ใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลก ลักษณะเป็นอุโมงค์ใต้ดินที่มีเส้นทางคดเคี้ยวทอดยาวถึง 120 กิโลเมตร โดยพาท่านนั่งรถกอล์ฟแบตเตอรี่ชมในส่วนต่างๆของโรงบ่มไวน์ ซึ่งท่านจะได้ชมไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1902 ที่นี่จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศมอลโดวา ท่านจะได้ลิ้มลองรสชาติของมอลโดวาไวน์ ซึ่งเป็นไวน์ที่ดีที่สุดของโลกได้ที่นี่ 
      จากนั้นนำท่านไปชม เขตประวัติศาสตร์เก่าออร์เฮ (Old Orhei) เขตประวัติศาสตร์ออร์เฮเป็นแหล่งโบราณคดีที่ผสมผสานทิวทัศน์ธรรมชาติและอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยตั้งอยู่ในเขตออร์เฮ ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 60 กิโลเมตร เขตประวัติศาสตร์แห่งนี้ประกอบด้วยซากถ้ำ อาราม ห้องอาบน้ำโบราณ และป้อมปราการ ปัจจุบันนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งขนาดใหญ่ที่เปิดให้เข้าชมได้
      ครั้นได้เวลาพอสมควร เดินทางกลับสู่ เมืองคีซีเนา
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Jollyalon Hotel 4*, Chisinau Moldova หรือเทียบเท่า

  • Day 10
    คีชีเนา - เมืองโอเดสซา ประเทศยูเครน (B/L/D)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      อำลาประเทศมอลโดวา มุ่งหน้าเดินทางสู่ เมืองโอเดสซา (Odessa) ประเทศยูเครน โดยมีระยะทางประมาณ 180 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง หรือใช้เวลามากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับขั้นตอนผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของทั้งสองประเทศ
      เดินทางต่อไปยัง เมืองโอเดสซา เมืองใหญ่อันดับสามของประเทศยูเครน โดยได้รับฉายาว่า “ไข่มุกแห่งทะเลดำ” เนื่องจากเป็นเมืองท่าที่สำคัญในทะเลดำ และมีสภาพอากาศที่อบอุ่นและชายหาดที่มีแสงอาทิตย์ส่องกระทบจนเกิดภาพที่สวยงาม จึงไม่น่าแปลกใจ เลยที่เมืองแห่งนี้จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หลายแสนคนตลอดทั้งปี  
      กลางวัน  รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำท่านชม เมืองโอเดสซา เมืองท่าเรือพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ และเป็นเมืองที่มีการวางผังเมืองที่ดีสวยงามลงตัวและมีอาคารสถาปัตยกรรมเก่าแก่ต่างๆหลายแห่งที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19-20 โดยได้รับการออกแบบจากบรรดานักสถาปนิกและวิศวกรที่มีชื่อเสียงระดับโลก 
      พาท่านเดินชมเมือง ผ่านถนนที่สวยงามหลายสาย แวะชม บันไดโพธอมคิน (Potyomkin Staircase) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1837-1841 หนึ่งในบันไดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี Francesco Boffo มีบันไดทั้งหมด 192 ขั้น สูง 27 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ โดยนำเข้าหินทรายจากเหมืองในอิตาลีมาใช้ในการก่อสร้าง ขนาดของบันไดวัดแนวตั้งฉากมีความสูง 27 เมตร ความยาว142 เมตร และมีขั้นบันได 200 ขั้น ต่อมาในปีค.ศ. 1933 บันไดหินทรายดังกล่าวเกิดทรุดพัง จึงได้บูรณะบันไดด้วยหินแกรนิตทดแทน โดยในระหว่างที่ทำการบูรณะนี่เองทำให้บันไดหายไป 8 ขั้น เหลือเพียง 192 ขั้นจนถึงปัจจุบัน ที่นี่จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ พร้อมนำท่านชมอนุสาวรีย์ Duke de Richelieu ที่ตั้งอยู่ด้านขั้นบนสุด 
      นำท่านชมด้านนอก โรงอุปรากร (The Opera House) เป็นโรงละครขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองลงมาจากโรงอุปรากร La Scala ที่กรุงมิลาน ประเทศอิตาลี จากนั้นพาท่านไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินสายหลักของเมืองที่มีชื่อว่า Deribasivska  Street ซึ่งเป็นดั่งหัวใจของเมืองโอเดสซา เพราะเป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ ร้านกาแฟและร้านอาหารมากมาย
      ชมโบสถ์ Uspensky Cathedral เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมือง มีหลังคายอดโดม 5 ยอดเป็นจุดเด่นของโบสถ์หลังนี้ จากนั้นนำท่านชมภายใน Odessa Fine Arts Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งโอเดสซา สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1899  เป็นสถานที่เก็บรวบรวมผลงานศิลปะต่างๆมากมายหลายแขนง รวมถึงภาพวาดที่สะท้อนประวัติศาสตร์และความเชื่อในลัทธิศาสนาที่เขียนออกมาจากอารมณ์ของศิลปินที่แสดงไว้ในภาพไอคอนต่างๆ โดยฝีมือของศิลปินชาวรัสเซียและชาวยูเครนที่มีชื่อเสียงในช่วงยุคปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20  
      ใช้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางไปยังสนามบินโอเดสซา เพื่อเดินทางกลับไปยังกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน 
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Boomerang Boutique Hotel 4*, Odessa Ukraine หรือเทียบเท่า

  • Day 11
    กรุงเคียฟ (B/L/D)
    • เช้าตรู่ รับประทานอาหารเช้าโรงแรม
      07.00 น.   เหินฟ้าสู่ กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน โดยสายการบิน ยูเครนอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ PS056 (07.00-08.00) (ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง) 
      08.00 น. เดินทางถึงสนามบิน กรุงเคียฟ เมืองหลวงของประเทศยูเครน 
      นำท่านชมมรดกโลก มหาวิหารเซนต์โซเฟีย (St.Sophia Cathedral)  เป็นโบสถ์ที่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น มหาวิหารนี้ได้สร้างขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์ Yaroslav I the Wise ซึ่งท่านได้ปกครองดินแดน Kievan Rus เริ่มก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ.1037 ซึ่งด้านนอกเป็นหลังคาโดมจำนวนมากถึง 13 โดม ภายในตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกหลากสี และมีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม เช่น ภาพเขียนสีเฟรสโก้ และ ภาพพระแม่มารีซึ่งทำมาจากกระเบื้องโมเสกสีทองอร่ามกว่าล้านชิ้น เล่ากันว่าในอดีต มหาวิหารแห่งนี้เป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์ที่ปกครองดินแดน Kievan Rus หลายพระองค์ หลังเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในรัสเซียเมื่อปี ค.ศ.1917 มหาวิหารได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ เพราะเกิดความเสียหายอย่างหนัก ปัจจุบันได้ถูกยกฐานะจากโบสถ์ขึ้นมาเป็นมหาวิหารประจำเมืองเคียฟ นอกจากนี้มหาวิหารเซนต์โซเฟีย ยังเป็นศูนย์กลางในการประกอบพิธีกรรมสำคัญทางศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ ครั้นเมื่อยูเครนได้ประกาศเอกราชแยกออกจากรัสเซียในช่วงปี ค.ศ.1991 รัฐบาลได้ทำการปรับปรุงมหาวิหารแห่งนี้ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อนุญาตเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และเป็นพิพิธภัณฑ์ทางศาสนาที่สำคัญของกรุงเคียฟ 
      ต่อด้วยนำท่านชม โบสถ์เซนต์แอนดรูว์ (St.Andrew’s Church) เป็นโบสถ์เก่าแก่สไตล์บารอคที่วิจิตรงดงาม ดูงามสง่าด้วยยอดโดมเอกที่ล้อมรอบด้วยหอคอยสูงสี่ด้านสอดรับกันอย่างสมมาตรสะดุดตา ภายในโบสถ์ตกแต่งไว้อย่างวิจิตรบรรจงด้วยภาพวาด รูปปั้น รูปแกะสลักเคลือบทอง ประติมากรรมต่างๆ โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1747-1754 ซึ่งออกแบบโดย Bartolomeo Rastrelli  สถาปนิกชาวอิตาลี ตามพระราชโองการของพระนางอลิซาเบธ ผู้เคร่งครัดในศาสนา ซึ่งพระองค์เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย แต่พระนางสิ้นพระชนม์ก่อนที่โบสถ์จะสร้างเสร็จ ปัจจุบันโบสถ์หลังนี้ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่จนเสร็จสมบูรณ์ ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของกรุงเคียฟที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนอย่างไม่ขาดสาย ในบริเวณใกล้ๆกันกับโบสถ์เซนต์แอนดรูว์ จะมีถนนคนเดินเล็กๆที่เก่าแก่สายหนึ่งของเมืองเคียฟที่มีชื่อว่า Andrew Descent Street เป็นย่านขายผลงานศิลปะและมีแผงร้านค้าขายของที่ระลึกตั้งอยู่ตลอดสองข้างทางได้รับการเปรียบเปรยยกเทียบให้เป็น มงต์มาตร์แห่งกรุงเคียฟ (Montmartre of Kiev) เพราะที่นี่มีบรรยากาศคล้ายคลึงกับย่านมงต์มาตร์ของกรุงปารีสนั่นเอง
      นำท่านชม อารามเซนต์ไมเคิลโดมทอง (Saint Micheal’s Golden-Domed Monastery) เป็นโบสถ์ที่ใช้ในการทำพิธีกรรมทางคริสต์ศาสนาของชาวเคียฟ ตั้งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำดนีเปอร์ สร้างขึ้นครั้งแรกช่วงยุคกลางโดยกษัตริย์ ที่มีพระนามว่า Sviatopolk II Iziaslavych (ราวช่วงปี ค.ศ.1093-1113) ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 โบสถ์หลังนี้ได้รับการบูรณะใหม่อีกครั้งโดยสถาปัตยกรรมภายนอกตกแต่งสไตล์ยูเครเนียนบารอค ส่วนภายในถูกตกแต่งหรูหราสไตล์ไบแซนไทน์ตามของดั้งเดิม แต่อย่างไรก็ดีโบสถ์หลังนี้ถูกรื้อถอนลงในช่วงคริสต์วรรษที่ 1930 โดยสหภาพโซเวียต แต่หลังจากได้รับอิสรภาพเป็นเอกราชในปี ค.ศ.1991 โบสถ์นี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งและเปิดใช้งานในปี ค.ศ.1999 
      ในบริเวณลานกว้างด้านหน้าอารามเซนต์ไมเคิล เป็นที่ตั้งของ อนุสาวรีย์เจ้าหญิงโอลกา พระนางได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายอิกอร์แห่งเคียฟ เป็นประมุของค์ที่สองของเคียฟ-รุส ที่ครองราชย์ในช่วงปี ค.ศ. 912-945 แต่เจ้าชายอิกอร์ถูกลองปลงพระชนม์จากพวกเผ่าเดเรฟเลียน (Derevlian) อาณาจักรสลาฟทางตะวันตก เจ้าหญิงจึงทำการล้างแค้นให้กับพระสวามีจนสำเร็จอย่างโหดเหี้ยม พระนางทรงเป็นกษัตริยาพระองค์แรกของราชวงศ์รูริค ที่หันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์โธด็อกซ์ เพื่อเปิดโอกาสช่องทางในการค้าขายกับจักรวรรดิไบแซนไทน์ การเปลี่ยนมานับถือคริสต์เพื่อการค้านั้น ส่งผลให้เจ้าหญิงโอลกาได้กลายเป็นนักบุญ ในท้ายที่สุดหลังจากสิ้นพระชนม์ชีพในปี ค.ศ. 969 พระนางได้รับการยกย่องว่าเป็น สมเด็จย่า (Grandmother) แห่งศาสนจักรในรัสเซียและยูเครน ทุกวันนี้ชาวยูเครนนับถือพระนางในฐานะ นักบุญโอลกา หรือ นักบุญผู้กระหายเลือดแห่งเคียฟ-รุส
      กลางวัน       รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย นำท่านชม มหาวิหารเซนต์โวโลดิเมียร์  (St.Volodymyr’s Cathedral) โบสถ์งามสีเหลืองหลังคาโดมสีน้ำเงินสไตล์นีโอ-ไบแซนไทน์ หนึ่งในโบสถ์ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของกรุงเคียฟ ที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เริ่มต้นในปีค.ศ.1852 พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่1 มีพระราชดำริเห็นชอบให้มีการสร้างโบสถ์ที่กรุงเคียฟเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานครบรอบ 900 ปีแห่งการนับถือคริสต์ของชาวเคียฟ-รุส (พิธีบัพติศมา หรือ ศีลล้างบาป) ในยุคของเจ้าชายโวโลดิเมียร์ ราวช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 (ค.ศ. 980-1015) พระเจ้านิโคลัสที่1ทำการเรี่ยไรรับเงินบริจาคจากประชาชนทั่วรัสเซียเป็นจำนวน 100,000 รูเบิ้ล เพื่อร่วมกันก่อสร้างโบสถ์หลังนี้ ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 34 ปี (ค.ศ.1862-1896) ที่ใช้ช่างฝีมือที่เก่งดีที่สุดทั้งจากยูเครน รัสเซีย และโปแลนด์ มาร่วมกันสร้างผลงานจิตรกรรมฝาผนังที่ละเอียดอ่อนช้อย จึงเปรียบเสมือนศูนย์รวมภาพเขียนที่มีชื่อเสียงมากในกรุงเคียฟที่ตกแต่งโดยศิลปินชื่อดังระดับโลก อีกทั้งที่นี่ยังเป็นสถานที่พำนักของพระราชาคณะแห่งเคียฟในปัจจุบันอีกด้วย 
      นำท่านชม ประตูทองคำ (Golden Gate) ประตูเมืองเก่าที่เป็นส่วนหนึ่งของแนวกำแพงปราการตอนบนของกรุงเคียฟในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 ราวปี ค.ศ.1037 ในยุคของกษัตริย์ยโรสลาฟ สร้างในช่วงเวลาเดียวกันกับมหาวิหารเซนต์โซเฟีย ประตูนี้ตั้งชื่อตาม Golden Gate of Constantinople แห่งจักรวรรดิ์ไบแซนไทน์ ประตูเมืองที่เห็นอยู่ในปัจจุบันถูกสร้างใหม่เกือบทั้งหมดในปี ค.ศ.1982 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 1,500 ปีแห่งการสร้างเมืองเคียฟ  
      นำท่านชม จัตุรัสแห่งอิสรภาพ (Kiev's Independence Square or Maidan Nezalezhnosti) ซึ่งเป็นจัตุรัสหลักใจกลางเมืองเคียฟ เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์แห่งอิสรภาพ เพื่อระลึกถึงการประกาศเอกราชของชาติที่แยกตัวออกมาจากสหภาพโซเวียตได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1991 โดยจัตุรัสแห่งนี้เป็นสถานที่จัดชุมนุมประท้วงทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกใช้เป็นสถานที่จัดแสดงงานกิจกรรมใหญ่ๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองด้วยเช่นกัน เปรียบเทียบคล้ายสนามหลวงในบ้านเรา ท่านสามารถชื่นชมความงามของอาคารและสถาปัตยกรรมต่างๆที่อยู่รายล้อมจัตุรัสแห่งนี้
      อิสระให้ท่านเดินเล่นและช้อปปิ้งตามอัธยาศัย ณ บริเวณ  Khreshchatyk Street ย่านใจกลางเมือง เพื่อเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังมากมาย หรือเก็บภาพที่ระลึกของอาคารต่างๆในละแวกนั้น 
      จากนั้นนำท่านเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติบอรีสปีล เพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทย
      16.30 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติบอรีสปีล กรุงเคียฟ  เตรียมตัวเช็คอินเพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทย
      19.25 น. เหินฟ้าสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบิน ยูเครนอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ PS271 (19.25-09.45+1) 
      (ใช้เวลาบิน 10 ชั่วโมง 20 นาที)  (บริการอาหารบนเครื่องบิน)
  • Day 12
    กรุงเทพฯ (B/L/D)
    • 09.45 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
Top